Print
Hits: 1476

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)

ได้ปรับปรุงกฎหมายการแสดงฉลากของเครื่องสำอางสำหรับแอลกอฮอล์เจล

 

                  อย. ปรับปรุงกฎหมายการแสดงฉลากแอลกอฮอล์เจลโดยเฉพาะ กำหนดให้แสดงข้อมูลที่จำเป็นอย่างครบถ้วน โดยระบุข้อความ “เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เพื่อสุขอนามัยสำหรับมือ” แสดงปริมาณแอลกอฮอล์ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 โดยปริมาตร รวมถึงวิธีใช้ คำเตือน และไม่แสดงข้อความหรือภาพที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ให้ผู้บริโภคเลือกซื้อได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยยิ่งขึ้น เภสัชกรหญิงสุภัทรา บุญเสริม รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ปรับปรุงกฎหมายการแสดงฉลากของเครื่องสำอางสำหรับแอลกอฮอล์เจลโดยเฉพาะ โดยกำหนดให้แสดงข้อมูลทีจำเป็นอย่างครบถ้วน เพื่อผู้บริโภคได้พิจารณาก่อนตัดสินใจเลือกซื้อ สามารถนำผลิตภัณฑ์ไปใช้ถูกวิธี รวมทั้งเก็บรักษาได้อย่างถูกต้อง  โดยฉลากต้องระบุให้ชัดเจนว่าเป็น “เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เพื่อสุขอนามัยสำหรับมือ”แสดงความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ หรือข้อความ “แอลกอฮอล์ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 โดยปริมาตร” ระบุวิธีใช้ว่า “ใช้ทำความสะอาดมือโดยถูให้ทั่วมือ ไม่น้อยกว่า 20 วินาที แล้วทิ้งไว้ให้แห้ง” รวมถึงคำเตือน “1.ห้ามเก็บที่อุณหภูมิเกิน 40 องศาเซลเซียส ห้ามใช้ใกล้เปลวไฟ 2. หากใช้ในเด็กเล็ก ควรมีผู้ใหญ่ดูแลอย่างใกล้ชิด และเก็บให้พ้นมือเด็กเล็กและ 3.หากเกิดอาการระคายเคืองหรือผิดปกติ ควรหยุดใช้และปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร” 

นอกจากนี้ ฉลากจะต้องแสดงวัน เดือน ปี ที่หมดอายุ เลขที่ใบรับจดแจ้ง และไม่แสดงข้อความหรือภาพที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ซึ่งกฎหมายใหม่นี้มีผลใช้บังคับแล้วตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2563 ผู้ประกอบการที่จดแจ้งตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2563 ต้องปฏิบัติตามกฎหมายฉบับนี้ทันทีส่วนผู้ประกอบการที่จัดทำฉลากไว้ก่อนแล้ว สามารถใช้ฉลากเดิมต่อไปได้จนถึงวันที่ 28 มิถุนายน 2564 ทั้งนี้ในช่วงเปลี่ยนผ่านการใช้บังคับของกฎหมาย ผู้บริโภคอาจพบฉลากทั้ง 2 รูปแบบวางจำหน่าย ขอให้ตรวจสอบข้อมูลบนฉลากเทียบกับข้อมูลการได้รับอนุญาตจากเว็บไซต์ อย. www.fda.moph.go.th หัวข้อตรวจสอบผลิตภัณฑ์ หรือไลน์ @FdaThai ประชาชนที่สนใจสามารถติดตามข่าวสารที่เกี่ยวข้องในช่วงโควิด-19 ได้ที่เว็บไซต์ อย. หัวข้อ “COVID-19”

(ข้อมูลจากสำนักคณะกรรมการอาหารและยา)